วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Halloween

On the night of October 31, many Americans celebrate the traditions of Halloween by dressing in costumes and telling tales of witches and ghosts. Children go from house to house—to “trick or treat”—collecting candy along the way. Communities also hold parades and parties.
คืนวันที่ 31 ตุลาคม เป็นคืนที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เฉลิมฉลองวันฮัลโลวีนด้วยการแต่งแฟนซีเป็นภูติผีหน้าตาแปลกๆ และผลัดกันเล่าเรื่องผีหรือแม่มดที่น่ากลัวต่างๆ เป็นวันที่เด็กๆ สนุกสนานกับการ-เดินไปเคาะประตูบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อเล่น “ทริค ออร์ ทรีท” สะสมขนมขบเคี้ยวจากเจ้าของบ้าน บางชุมชนมีการจัดปาร์ตี้ หรือเดินพาเหรดกันด้วย
Halloween had its beginnings in an ancient, pre-Christian Celtic festival of the dead. The Celtic peoples, who were once found all over Europe, divided the year by four major holidays. According to their calendar, the year began on a day corresponding to November 1st on our present calendar. The date marked the beginning of winter. Since they were pastoral people, it was a time when cattle and sheep had to be moved to closer pastures and all livestock had to be secured for the winter months. Crops were harvested and stored. October 31, with the harvest gathered and the fields bare, marked the end of the old year and the beginning of the new.
เทศกาลฮัลโลวีนถือกำเนิดมาจากเทศกาลฉลองผีของชาวเคลท์ (Celt) สมัยที่ยังไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ ชาวเคลท์ซึ่งตั้งชุมชนอยู่ทั่วทวีปยุโรปจะแบ่งปีเป็นสี่ช่วง แต่ละช่วงจะเริ่มด้วยวันหยุดใหญ่ ตามปฏิทินของชาวเคลท์ วันปีใหม่ของพวกเขาตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายนในปัจจุบัน และเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวของพวกเขาด้วย เนื่องจากชาวเคลท์เป็นเกษตรกร ตั้งบ้านเรือนอยู่ในทุ่งหญ้า เมื่อฤดูหนาวมาเยือนพวกเขาจึงต้องเตรียมย้ายปศุสัตว์คือวัวและแกะให้มาหากินในทุ่งใกล้บ้าน เตรียมที่อยู่และอาหารให้พอกินตลอดฤดูหนาว และต้องเก็บเกี่ยวพืชพรรณธัญญาหารที่ปลูกไว้มาเก็บตุนไว้ วันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่พืชผลถูกเก็บเกี่ยวหมดเหลือเพียงทุ่งว่างเปล่า จึงเป็นวันสิ้นปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
The festival observed at this time was called Samhain (pronounced Sah-ween). It was the biggest and most significant holiday of the Celtic year. The Celts believed that at the time of Samhain, more so than any other time of the year, the ghosts of the dead were able to mingle with the living, because at Samhain the souls of those who had died during the year traveled into the otherworld. People gathered to sacrifice animals, fruits, and vegetables. They also lit bonfires in honor of the dead, to aid them on their journey, and to keep them away from the living.
ชาวเคลท์เรียกงานฉลองเทศกาลลาทีปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของพวกเขาว่า ซาวีน (สะกดตามแบบชาวเคลท์ว่า Samhain) ถือเป็นวันหยุดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งปี พวกเคลท์เชื่อว่า ในช่วงซาวีนนี้ วิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วจะออกมาอยู่ร่วมกับคนเป็นมากกว่าเวลาอื่นๆ เพราะในช่วงซาวีน วิญญาณของคนที่ตายในช่วงปีที่ผ่านมาจะเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง ผู้คนจึงมารวมกันเพื่อถวายสัตว์ ผลไม้ และผักต่างๆ และจุดไฟกองใหญ่ๆ เพื่อให้เกียรติกับคนตาย และเพื่อส่องทางให้ผู้ตายไปปรโลกได้สะดวก จะได้ไม่หลงมาอยู่ใกล้ๆ คนเป็นให้หัวใจวายตายตามไปด้วยเปล่าๆ
When Christianity began to spread among the Celtic people, church holy days were purposely set to coincide with native holy days. The Christian feast of All Saints was assigned to November 1st. The day honored every Christian saint, especially those that did not otherwise have a special day devoted to them. All Saints Day, otherwise known as All Hallows (hallowed means sanctified or holy), continued the ancient Celtic traditions. The evening prior to the day was the time of the most intense activity, both human and supernatural. People continued to celebrate All Hallows Eve as a time of the wandering dead. The folk continued to appease those spirits (and their masked impersonators) by setting out gifts of food and drink. Subsequently, All Hallows Eve became Hallow Evening, which became Hallowe'en--an ancient Celtic, pre-Christian New Year's Day.
เมื่อชาวเคลท์เริ่มหันมานับถือศาสนาคริสต์ วันสำคัญทางศาสนาถูกจัดให้เป็นวันเดียวกันกับวันสำคัญในประเพณีดั้งเดิมเพื่อให้ง่ายกับการปรับตัวเข้ากับศาสนาใหม่ วันที่ 1 พฤศจิกายน กลายเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย คือนักบุญของศาสนาคริสต์ทุกองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญที่ไม่มีวันฉลองเฉพาะของตนเอง วันสมโภชนักบุญทั้งหลายนี้เรียกอีกอย่างว่า ออล ฮอลโลว์ (คำว่า ฮอลโลว์ แปลว่าศักดิ์สิทธิ์) และยังคงสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของชาวเคลท์ต่อไป โดยเย็นวันก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน หรือที่เรียกว่า ออล ฮอลโลว์ อีฟ ถือเป็นวันที่ทั้งคนและผีมีกิจกรรมมากที่สุด โดยฝ่ายผีก็ออกมาเดินเพ่นพ่าน ส่วนฝ่ายคน (ที่กลัวผี) ก็เอาใจผี (และคนที่ใส่หน้ากากผี) ด้วยการ-หาอาหารและเครื่องดื่มมาวางไว้ให้เป็นของขวัญ ต่อมา ชื่อ ออล ฮอลโลว์ อีฟ ก็ถูกตัดให้สั้นลงเหลือแค่ ฮอลโลว์ อีฟนิ่ง และเพี้ยนเป็น ฮัลโลวีน ในที่สุด ซึ่งก็คือวันฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวเคลท์โบราณสมัยที่ยังไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์นั่นเอง
Virtually all present Halloween traditions can be traced to the ancient Celtic day of the dead. The wearing of costumes, for instance, and roaming from door to door demanding treats can be traced to the Celtic period and the first few centuries of the Christian era. As the centuries wore on, people began dressing like dreadful creatures, performing antics in exchange for food and drink. This practice is called mumming, from which the practice of trick-or-treating evolved. The customs of carving vegetables also harken back to the original harvest holiday of Samhain.
กิจกรรมต่างๆ ที่นิยมทำกันในวันฮัลโลวีนเกือบทั้งหมดสามารถสืบย้อนไปได้ถึงสมัยโบราณ เช่นการแต่งแฟนซีและการเดินไปแวะเวียนตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม ก็เป็นประเพณีของชาวเคลท์ในสมัยศตวรรษแรกๆ ที่เริ่มหันมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มแต่งตัวเลียนแบบภูติผีปีศาจ และเล่นแผลงๆ เพื่อแลกกับอาหารและน้ำ กิจกรรมนี้เรียกว่า มัมมิ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นกิจกรรม ทริค ออร์ ทรีท ของเด็กๆ หรือประเพณีการแกะสลักผักผลไม้ เช่น ฟักทอง ก็สะท้อนถึงการฉลองการเก็บเกี่ยวพืชผลในเทศกาลซาวีนนั่นเอง
Today Halloween is becoming once again an adult holiday or masquerade, like Mardi Gras. Men and women in every disguise imaginable are taking to the streets of big American cities and parading past grinningly carved, candlelit jack o'lanterns. In so doing, they are reaffirming death as a part of life in an exhilarating celebration of a holy and magic evening.
ปัจจุบันนี้เทศกาลฮัลโลวีนกลายเป็นงานรื่นเริงของผู้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง มีการใส่หน้ากากเดินพาเหรดเฉลิมฉลองแบบเดียวกับเทศกาลมาดิกราส์ ทั้งชายและหญิงในชุดแฟนซีแปลกๆ สุดแต่ใจจะจินตนาการ ต่างออกมาเดินพาเหรดตามถนนในเมืองใหญ่ ผ่านหน้ายิ้มแย้มของตะเกียงฟักทอง แจ๊ค โอแลนเทิร์น เพื่อเตือนตัวเองว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ด้วยการเฉลิมฉลองอันคึกคักในยามเย็นแห่งความศักดิ์สิทธิ์และมนต์มายา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น