วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Aurora Borealis (ภาษาอังกฤษ)

An aurora (plural: aurorae or auroras; from the Latin word aurora, "dawn") is a natural light display in the sky particularly in the high latitude (Arctic and Antarctic) regions, caused by the collision of energetic charged particles with atoms in the high altitude atmosphere (thermosphere). The charged particles originate in the magnetosphere and solar wind and, on Earth, are directed by the Earth's magnetic field into the atmosphere. Aurora is classified as diffuse or discrete aurora. Most aurorae occur in a band known as the auroral zone, which is typically 3° to 6° in latitudinal extent and at all local times or longitudes. The auroral zone is typically 10° to 20° from the magnetic pole defined by the axis of the Earth's magnetic dipole. During a geomagnetic storm, the auroral zone will expand to lower latitudes. The diffuse aurora is a featureless glow in the sky which may not be visible to the naked eye even on a dark night and defines the extent of the auroral zone. The discrete aurorae are sharply defined features within the diffuse aurora which vary in brightness from just barely visible to the naked eye to bright enough to read a newspaper at night. Discrete aurorae are usually observed only in the night sky because they are not as bright as the sunlit sky. Aurorae occasionally occur poleward of the auroral zone as diffuse patches or arcs (polar cap arcs), which are generally invisible to the naked eye.

In northern latitudes, the effect is known as the aurora borealis (or the northern lights), named after the Roman goddess of dawn, Aurora, and the Greek name for the north wind, Boreas, by Pierre Gassendi in 1621. Auroras seen near the magnetic pole may be high overhead, but from farther away, they illuminate the northern horizon as a greenish glow or sometimes a faint red, as if the Sun were rising from an unusual direction. Discrete aurorae often display magnetic field lines or curtain-like structures, and can change within seconds or glow unchanging for hours, most often in fluorescent green. The aurora borealis most often occurs near the equinoctes. The northern lights have had a number of names throughout history. The Cree call this phenomenon the "Dance of the Spirits". In Europe, in the Middle Ages, the auroras were commonly believed a sign from God.

Its southern counterpart, the aurora australis (or the southern lights), has almost identical features to the aurora borealis and changes simultaneously with changes in the northern auroral zone and is visible from high southern latitudes in Antarctica, South America, New Zealand, and Australia.

Aurorae occur on other planets. Similar to the Earth's aurora, they are visible close to the planet's magnetic poles.

Modern style guides recommend that the names of meteorological phenomena, such as aurora borealis, be uncapitalized.



Aurora Borealis (ภาษาไทย)

แสงออโรราหรือแสงเหนือแสงใต้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม พบได้เฉพาะบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ เช่น แคนาดา รัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ รัสเซีย แต่บางครั้งอาจจะปรากฏให้เห็นในที่ซึ่งอยู่ละติจูดต่ำลงมา ถ้าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือเรียกว่าแสงเหนือ (northern lights) หรือเรียกเป็นทางการว่าแสงออโรรา บอรีเอลิส (aurora borealis) แต่ถ้าเกิดใกล้ขั้วโลกใต้จะเรียกว่าแสงใต้ (southern lights) หรือแสงออโรรา ออสตราลิส (aurora australis) 

แสงเหนือแสงใต้มีสีสันต่าง ๆ ส่วนใหญ่ที่พบจะมีสีเขียวหรือสีขาว สีอื่นที่พบได้บ้าง เช่นสีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง

คำว่า aurora เป็นภาษาลาติน มาจากชื่อเทพีแห่งรุ่งอรุณของโรมันว่าออโรรา (Aurora) ส่วน borealis มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งลมเหนือของกรีกว่าบอรีอัส (Boreas)

แสงเหนือสร้างความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจ รวมไปถึงความหวาดกลัวแก่มนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อใดที่แสงเหนือปรากฏแก่ผู้คนที่อยู่ทางใต้ลงมา ในปารีสโอกาสที่จะเห็นแสงเหนือมีอย่างมากเพียง 2-3 คืนต่อปีเท่านั้น และนั่นต้องเป็นคืนที่มืดปราศจากมลพิษและแสงสีจากอาคารรบกวน ส่วนที่โรม โอกาสที่จะเห็นแสงเหนือมีเพียง 1 ในพันคืนเท่านั้น และเมื่อใดที่มันปรากฏให้เห็น มักจะมีสีแดงเข้ม ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนเพิ่มขึ้นไปอีก ในยุคกลางเชื่อว่าแสงเหนือเป็นลางบอกเหตุสงคราม ภัยพิบัติ หรือโรคระบาด

มนุษย์สร้างตำนาน ความเชื่อ และนิทานปรับปรา คู่กับแสงเหนือมาตลอด เชื่อกันว่ามังกรของจีนและยุโรปมีที่มาจากจินตนาการของมนุษย์ที่เห็นแสงเหนือเป็นแนวยาวขยับไปมา กลางท้องฟ้า ชาวเดนมาร์กเชื่อว่าแสงเหนือเกิดจากฝูงหงส์ที่บินขึ้นเหนือซึ่งหนาวจนปีกกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อพวกมันสะบัดปีกทำให้เกิดแสงสะท้อนเกิดเป็นแสงเหนือ 

ชาวอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกเชื่อว่าแสงเหนือคือควันไอร้อนที่มาจากหม้อต้มปลาวาฬของชนเผ่าที่อยู่ทางตอนเหนือกว่า บางเผ่ากับเชื่อว่าแสงเหนือคือแสงสะท้อนบนท้องฟ้าจากกองไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ทางเหนือขึ้นไป 

บางวัฒนธรรมเชื่อว่าพระเจ้าได้จุดไฟขึ้นเพื่อให้ความสว่างและความอบอุ่นกับดินแดนทางเหนือที่หนาวเย็น บางชนเผ่าเชื่อว่าแสงเหนือคือวิญญาณของบรรพบุรุษที่กลับมาปกปักรักษาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้แรกที่พยายามบอกว่าแสงเหนือแสงใต้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติคือ อริสโตเติล ปรัชญาเมธีชาวกรีก ซึ่งยืนยันว่าแสงเหนือไม่ใช่ปรากฏการณ์จากท้องฟ้า แต่เป็นไอระเหยจากโลกแล้วเกิดการสับดาปกับชั้นบรรยากาศ ถึงคำอธิบายนี้จะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ต้องยกความดีความชอบให้แก่ท่านในความพยายามที่จะให้มนุษย์คิดอย่างวิทยาศาสตร์มากกว่าเชื่ออย่างงมงาย เมื่อวิทยาการต่าง ๆ เจริญรุดหน้ามากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์แสงประหลาดนี้ได้อย่างถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรก

เด็กดีดอทคอม :: สวยสุโค่ย!! แสง Aurora ดูได้ที่ขั้วโลกเท่านั้น

เด็กดีดอทคอม :: สวยสุโค่ย!! แสง Aurora ดูได้ที่ขั้วโลกเท่านั้น

เด็กดีดอทคอม :: สวยสุโค่ย!! แสง Aurora ดูได้ที่ขั้วโลกเท่านั้น

เด็กดีดอทคอม :: สวยสุโค่ย!! แสง Aurora ดูได้ที่ขั้วโลกเท่านั้น

เด็กดีดอทคอม :: สวยสุโค่ย!! แสง Aurora ดูได้ที่ขั้วโลกเท่านั้น

10 ชายหาดสันโดษ ที่ยังคงงดงามด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์

10. หาดพลาญ่า เดอ คูวาส มาร์, ประเทศสเปน

หาดแห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตพื้นที่อนุรักษ์ของชายฝั่งแอสทูเรียส ซึ่งมันตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำคูวาสพอดิบพอดี และในช่วงที่น้ำลด เราก็สามารถเดินไปตามทางหินปูนธรรมชาติเพื่อไปชมชายหาดที่สวยงามแห่งนี้ได้ เลย ซึ่งท้องทะเลสีเขียวมรกต ตัดกับหินปูนสีเทาบนท้องทะเลนั้น เกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม คุ้มค่ากับการมาเยือนให้เห็นกับตาสักครั้งเสียจริง ๆ

9. หุบเขาบัตเตอร์ฟลาย, ประเทศตุรกี

ถึงแม้ว่าตัวภูเขาที่ล้อมรอบชายหาดบริเวณอ่าวคาบัคใกล้เมืองโอลูเดนิซแห่ง นี้จะมีถนนตัดผ่าน แต่การเดินทางลัดเลาะหุบเขาลงไปเล่นน้ำทะเลก็ยากลำบากเหลือเกิน ดังนั้น ทางเดียวที่จะเข้าถึงตัวหาดท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ ก็คือ การนั่งเรือมาเท่านั้น และนอกจากทะเลอันสวยงามของที่นี่จะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืมแล้ว สิ่งพิเศษอีกอย่างที่เป็นที่มาของชื่อหาดบัตเตอร์ฟลาย ก็คือผีเสื้อมากมายกว่า 80 สายพันธุ์ที่เติมสีสันให้ที่นี่ดูสดใสขึ้นอีกนั่นเอง

8. อันเช่ คอคอส, สาธารณรัฐเซย์เชลล์

สำหรับคนที่ต้องการจะไปชมความงามของ อันเช่ คอคอส บนเกาะ ลา ดิกิว คุณสามารถเดินทางได้โดยการเดินเท้าผ่านหาด แกรนด์ อันเช่ หรือ เพทิท อันเช่ ส่วนใครที่อยากผจญภัยแบบลุย ๆ มากกว่านั้น ก็สามารถเลือกเดินป่าเข้ามาจากเกาะนิดไอเกิลได้เช่นกัน ซึ่งชายหาดแห่งนี้มีน้ำทะเลสีฟ้าใสงดงามไม่แพ้ที่ไหน ๆ เลย แต่คุณจำเป็นต้องระวังในการว่ายน้ำอยู่สักหน่อย เพราะแม้ปกติทะเลที่นี่จะเงียบสงบ แต่นาน ๆ ทีก็เกิดคลื่นลมแรงจนเป็นอันตรายได้เหมือนกัน

7. อ่าวไวน์กลาส, ประเทศออสเตรเลีย

อ่าวที่มีรูปร่างคล้ายกับแก้วไวน์สมชื่อนี้ เข้าถึงยากอยู่สักหน่อย จากการที่เราต้องเดินเท้าร่วมชั่วโมงผ่านแนวป่าไม้ กว่าจะได้ยลโฉมทะเลแสนสวยแห่งนี้ แต่รับรองว่าความงามที่คุณจะได้พบคุ้มค่ากับความลำบากแน่นอนค่ะ เพราะน้ำทะเลสีฟ้าใสของที่นี่งามจับตาจริง ๆ อีกทั้งยังมีพื้นที่ให้นักผจญภัยได้ใช้ปีนเขากันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทางตอนใต้ของหาดซึ่งมีหินแกรนิตสูงชันราว 300 เมตรตั้งอยู่ เมื่อกระทบกับแสงพระอาทิตย์เกิดเป็นสีชมพูอ่อน ยังเป็นจุดชมวิวอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่อมากอีกต่างหาก

6. หาดฮิดเดน บีช, ประเทศเม็กซิโก

คุณจะพบว่าตัวเองอยู่บนเกาะส่วนตัวจริง ๆ และลืมความวุ่นวายไปเลยเมื่อได้ไปพักผ่อนที่ ฮิดเดน บีช ในเกาะมาริเอ็ตต้า เมือง เปอร์โต วัลลาร์ตา ประเทศเม็กซิโกนี้ เพราะที่ชายหาดใกล้อ่าวแบนเดอร่านี้ คือเกาะที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟ และเพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน ธรรมชาติของที่นี่จึงสมบูรณ์มาก โดยมันเป็นที่อยู่ของสัตว์ทะเลกว่า 103 ชนิด ซึ่งการที่ชายหาดแห่งนี้อยู่ห่างจากหมู่เกาะอื่น ๆ และเดินทางได้ด้วยเรือเท่านั้น ทำให้มันเหมือนสวรรค์บนดินที่แสนเงียบสงบเลยทีเดียว

5. หาดคาลา ดิ เอน เซอร์รา, ประเทศสเปน

ทางตอนเหนือของเกาะอิบิซาในประเทศสเปน คือที่ตั้งของ หาดคาลา ดิ เอน เซอร์รา ในหมู่บ้าน แซนท์ โจน ดิ ลาบริทจา ชายหาดขนาดเล็กรูปเกือกม้าแสนเงียบสงบ ซึ่งความงดงามของมันทำให้หนังสือพิมพ์ The Guardian newspaper ของประเทศอังกฤษ (www.guardian.co.uk) ยกย่องให้เป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดในโลกมาแล้ว นอกจากนี้ ทางตอนใต้ยังมีชายหาดขนาดเล็กที่ใกล้พอจะว่ายน้ำไปเยี่ยมชมได้เช่นกัน

4. หาดไวท์เฮเวน, ประเทศออสเตรเลีย

เรียกได้ว่า หาดไวท์เฮเวน ณ เกาะวิธซันเดย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในชายหาดที่งดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมันมีทรายที่ขาวสะอาดที่สุดในโลก ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ออกมาเป็นภาพที่สวยเหนือจินตนาการ โดยเฉพาะบริเวณเขาอินเลททางตอนเหนือของหาด ที่น้ำทะเลและทรายผสมปนเปกันคล้ายกับภาพวาด ซึ่งการจะมาที่นี่สามารถเดินทางได้โดยเรือเท่านั้น ปราศจากที่พักบนเกาะ และยังห้ามนำสุนัข รวมทั้งบุหรี่เข้าไปอีกด้วย มันจึงเป็นเหมือนเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ ถ้าคิดจะตักทรายนี้กลับไปเป็นที่ระลึก อาจต้องคิดเสียใหม่นะ เพราะคุณมีสิทธิ์เจอค่าปรับสูงสุดตั้ง 5 พันเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนบาทได้เลย

3. หาดซลัตนี แรท, ประเทศโครเอเชีย

ด้วยรูปร่างที่แปลกตาน่าทึ่งของชายหาด ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายได้พักผ่อนแบบเป็นส่วนตัวด้วยใน เวลาเดียวกัน เพราะส่วนเว้าของชายหาดมีพื้นที่พอสำหรับการผ่อนคลายแบบเงียบ ๆ ของทุกคน และนอกจากลักษณะที่โดดเด่นนี้แล้ว หาดซลัตนี แรทยังขึ้นชื่อมากสำหรับนักโต้คลื่นอีกด้วย เพราะลมแมเอสทรอลที่พัดอยู่บริเวณหาดนี้ ช่วยให้มันเหมาะสำหรับการโต้คลื่นมากทีเดียว

2. หาดนาวาจิโอ, ประเทศกรีซ

หรืออีกชื่อว่า Shipwreck Beach ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะซาคินทอส ประเทศกรีซนี้ ลึกลับถึงขนาดเคยถูกใช้เป็นช่องทางลักลอบขนสินค้าหนีภาษี รวมถึงค้ามนุษย์ในยุค 80 มาก่อน แต่ปัจจุบันมันได้กลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศกรีซ ไปซะแล้ว และแทบทุกคนที่มาก็ต้องมาถ่ายรูปกับซากเรือแตกขนาดใหญ่ ที่ทอดตัวอยู่บนหาดทรายสีขาวนี้เสียด้วย โดยเชื่อกันว่ามันเป็นเรือของพวกโจรสลัดโบราณ ซึ่งถ้าใครมาแล้วลืมถ่ายรูปกับเรือนี้ล่ะก็...เรียกว่ามาเสียเที่ยวมาก ๆ เลยล่ะ

1. หาดโฮโนพู, สหรัฐอเมริกา

หากพูดถึงเรื่องความยากลำบากในการเข้าถึงตัวชายหาดแล้ว รับรองได้ว่าที่หาดโฮโนพู รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา แห่งนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ไหนแน่นอน ทำไมน่ะเหรอ...ก็เพราะมันไม่มีถนนหนทางเข้าถึง หรือแม้แต่ทางปีนเขาไต่เข้าไปยังไงล่ะ แต่วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้ ก็คือ การว่ายน้ำเข้าไปเท่านั้น โดยหาดโฮโนพูนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และตรงมุมก็มีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลลงสู่ทะเล เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากทีเดียว อย่างไรก็ดี แม้จะอยากชมความงามของที่นี่มากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าการไปเยือนหาดโฮโนพูจะเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับทุกคนนะคะ เพราะกว่าจะว่ายไปถึงเกาะได้ ก็ต้องเป็นคนที่ว่ายน้ำแข็งพอสมควรเลยล่ะ

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาพวาดลวงตา ศิลปะต้องเฉลียว

ศิลปะเป็นของคู่กับจินตนาการ ประหนึ่งพื้นที่ระบายอารมณ์ ภาพวาดลวงตา เป็นงานศิลปะอันซับซ้อนซ่อนหลายภาพไว้ในงานชิ้นเดียว ทดสอบความสามารถในการเฉลียวของคน เป็นอาร์ตที่มีประโยชน์ในการศึกษาของมนุษย์ เรื่องการรับรู้ทางด้านรูปทรง สี และความลึกของวัตถุ หลายภาพในที่นี้ดูไม่ยาก สิ่งที่ลวงสายตาในแต่ละภาพเกือบทั้งหมดเป็นใบหน้ามนุษย์ บางภาพเด่นสะดุดตา แต่บางภาพก็ไม่ง่ายหากวัดกันในเวลาไม่กี่วินาที

10 อุโมงค์ต้นไม้สุดสวยที่ใครเห็นเป็นต้องทึ่ง


1. อุโมงค์ดอกวิสเทอเรีย ประเทศญี่ปุ่น

 
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก toptenthailand.com)

   เห็นแล้วต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือดอกวิสเทอเรียที่บานสะพรั่งเต็มต้นเป็นม่านดอกไม้ ทั้งสีม่วงอ่อน ม่วงเข้ม ชมพู และขาว ห้อยอยู่ด้านบน เรียงกันเป็นแถวยาวไปตามเส้นทาง เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลงไปอยู่ในเทพนิยายยังไงยังงั้น

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก webboard.ladytips.com)

    เราจะพบเห็นความสวยงามแบบนี้ได้ที่ สวนคาวาชิ ฟูจิ ในเมืองคิตะกิวชู หรือหลังจากเทศกาลชมซากุระในกรุงโตเกียว เมืองชิซึโอกะ และเมืองโอคาซากิ ขอบอกว่าสวยงามไม่แพ้ดอกซากุระ ขาประจำของญี่ปุ่นนะจ้ะ และเพราะความสวยงามแบบนี้แหละที่ทำให้ “อุโมงค์ดอกวิสเทอเรีย” ถูกจัดอันดับจากหลายๆโพลให้อยู่ในอันดับหนึ่งอุโมงค์ดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลก!


2. ต้นศรีตรัง เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก toptenz.net)

    ใครที่ชื่นชอบสีม่วงต้องฟังทางนี้เลยจ้า! เพราะทุกๆเดือนตุลาคมในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ต้นศรีตรังที่ปลูกไว้ในเมืองกว่า 70,000 ต้น จะพร้อมกันออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม เกิดเป็นทิวทัศน์สีม่วงอ่อนให้คนที่ผ่านไปมาได้เพลิดเพลินกับภาพความงามเบื้องหน้า ใครมีโอกาสไปเที่ยวแถวนั้น คงต้องไปลองสัมผัสบรรยากาศกันดูสักครั้งนะคะ

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก bloggang.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก bloggang.com)

 3. อุโมงค์แห่งรัก ประเทศยูเครน

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)

    ขึ้นชื่อว่าเป็นอุโมงค์แห่งรัก ก็ย่อมได้รับการขนานนามว่า “อุโมงค์รถไฟที่โรแมนติกที่สุดในโลก” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของยูเครน เป็นอุโมงค์ที่ทอดยาว คดเคี้ยว แต่เต็มไปด้วยความงดงามเขียวชอุ่ม เชื่อกันว่าใครที่อยากสมหวังในความรัก ต้องมาอธิษฐานขอพรกันที่นี่ คนโสดขอให้ตัวเองได้พบเนื้อคู่เร็วๆ คนมีคู่ก็ขอพรให้ความรักของตนเองยั่งยืน

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)

    “อุโมงค์แห่งรัก” ถูกสร้างขึ้นจากต้นไม้ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเคลเว่น ที่อยู่ห่างจากอุโมงค์ถึง 25 กิโลเมตร ใครที่อยากขอพรเรื่องรัก แล้วไม่สมหวังซะที ลองมาที่นี่ดูนะคะ ไม่แน่ เผลอๆคุณอาจจะควงเนื้อคู่กลับมาเมืองไทยด้วยกันก็เป็นได้  

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)
 

4. ป่าไผ่ซางาโนะ ประเทศญี่ปุ่น

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก world.kapook.com)

    ใครที่ชื่นชอบความสงบแนะนำที่นี่เลยค่ะ เพราะนอกจากคุณจะได้ชมความงามจากต้นไผ่ในเมืองอาราชิยาม่าที่เรียงตัวกันยาวกว่า 500 เมตรแล้ว คุณยังจะได้ยินเสียงของไผ่ตอนกระทบกัน อยากจะบอกเลยว่าสุดจะโรแมนติกและไพเราะจับใจมากค่ะ ถึงขนาดว่ารัฐบาลญีปุ่นยกย่องไว้เลยว่า ‘เป็น 100 เสียงที่ต้องได้ยินสักครั้งหากมาที่ประเทศญีปุ่น’

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก world.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก world.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก world.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก world.kapook.com)

    และใกล้ๆกันนั้น ยังติดกับวัดชื่อดังหลายแห่งของเมือง ที่นอกจากเราจะได้มาเที่ยวแล้ว ยังแวะมาไหว้พระให้สบายใจอีกด้วยแหละ มาที่เดียวแต่ได้เที่ยวตั้งหลายอย่างค้มจะตาย

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)


 5.อุโมงค์ต้นบีช ประเทศไอร์แลนด์

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)

    เจอแต่อุโมงค์สวยๆ โรแมนติกกันไปแล้ว มาดูอีกแบบกันบ้างดีก่ว่า อุโมงค์ต้นบีชในประเทศไอร์แลนด์ตอนเหนือไม่เหมือนที่อื่นค่ะ ดูแปลกตาสวยงาม แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์และความน่ากลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)

    ที่มาของอุโมงค์แห่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่18 เจมส์ สจ๊วต ได้ทำการปลูกต้นไม้ราว 150 ต้นตลอด 2 ข้างทางเพื่อให้ทิวทัศน์บริเวณรอบบ้านของเค้าสวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร อยากให้ทุกคนจดจำ และทุกคนก็จดจำได้แม่นยำจริงๆ เพราะเป็นตำนานร่ำลือกันมาว่า อุโมงค์ต้นไม้กว่าร้อนต้นนี้ เป็นที่สิงสถิตย์วิญญาณของหญิงรับใช้ที่ตายไปอย่างลึกลับ บางครั้งหลายคนเคยพบเห็นวิญญาณของเธอปรากฏตัวในชุดสีเทา เรียกว่าทั้งสวยงามปนลึกลับ น่าขนลุกไปด้วยในเวลาเดียวกันค่ะ

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก unigang.com)


 6. อุโมงค์ต้นยิว ประเทศอังกฤษ

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)

    ตั้งแต่ปีค.ศ. 1470 ต้นยิวนั้นถือเป็นแบบภาพวาดต้นไม้ที่สวยงาม จิตรกรมากมายใช้เป็นแบบในการวาดรูป รวมไปถึงนักเขียนที่พูดถึงต้นไม้นี้อยู่บ่อยๆในนิยายแฟนตาซี แต่ที่โดดเด่น สวยงามจนเราต้องพูดถึงนั้นคงเพราะหน้าตาที่แปลก ไม่ค่อยเห็นทีไหน จึงทำให้ได้รับความนิยมและผู้คนมากมายก็ล้วนประทับใจในความแปลกของอุโมงค์ต้นยิว ที่ประเทศอังกฤษแห่งนี้

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก toptenz.net)


7.อุโมงค์ต้นแปะก๊วย ประเทศญี่ปุ่น

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก toptenz.net)

    ญีปุ่นของเราติดอันดับอีกแล้วค่า! แต่ก็ต้องยกให้เค้าจริงๆ เพราะความสวยงามของต้นแปะก๊วยที่เหลืองบานสะพรั่งเต็มต้นยาวไปตามทางล้วนทำให้คนที่ผ่านไปมาอดรู้สึกสดชื่นไม่ได้

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก osaka-info.jp)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก facebook.com/Pillow36)

    ต้นแปะก๊วยนั้นถือเป็นต้นไม้ที่มีความหมายกับชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของความหวังและชีวิตใหม่ เพราะจากการที่สามารถอยู่รอดได้หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่ฮิโรชิม่า ทำให้อุโมงค์ต้นแปะก๊วยกลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์อันแสนสวยของประเทศไปเลยทีเดียวค่ะ

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)


 8. อุโมงค์ต้นไม้สวนเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)

    อุโมงค์แห่งนี้บ่งบอกถึงฤดูใบไม้ร่วงได้เหมาะสมที่สุด เพราะด้วยสีสันของใบไม้ทั้งสีแสด สีสด สีเหลืองแล้ว แสงแดดอันอบอุ่นสบายตาที่สะท้อนลงมายังลงตัวสุดๆ เหมือนเป็นภาพวาดจากปลายพู่กันที่รังสรรค์มาจากจิตรกรชื่อดัง นับเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่มีทิวทัศน์สวยงามไม่แพ้ที่ไหนในโลกแน่นอน


  9.ถนน Rua de Carvalho Goncalo ประเทศบราซิล

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก play.kapook.com)

    ใครที่ผ่านมาแถวถนน Rua de Carvalho Goncalo ในบราซิลแล้วไม่รู้สึกเย็นสบายใจ นับว่าแปลกค่ะ เพราะถนนแห่งนี้นับว่าเป็นถนนที่ร่มรื่นที่สุดก็ว่าได้ เพราะต้นชิงชันที่ขนาบถนนอยู่ทั้งสองข้าง มีอายุกว่าพันปี สูงใหญ่ และให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก play.kapook.com)
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก play.kapook.com)

    ใครอยากมาสัมผัสความงามแบบนี้ ก็มาได้เลยนะคะที่ เมืองปอร์โต อาเลเกร ประเทศบราซิล นับเป็นจุดท่องเที่ยวหนึ่งที่ใครมาที่บราซิลแล้วต้องไม่พลาดเลยล่ะค่ะ
(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)


 10. อุโมงค์ต้นเชอร์รี่ บลอสซัม ประเทศเยอรมนี

(ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก travel.kapook.com)

    อุโมงค์ต้นเชอร์รี่ บลอสซัม เรียกได้ว่าเดี๋ยวนี้ในหลายๆประเทศก็เริ่มมีกันแล้ว แต่ที่ตั้งอยู่อย่างงดงามน่าประทับใจเสมอต้องยกให้ที่เยอรมันค่ะ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี ทุกฤดูใบไม้ผลิต้นเชอร์รี่ที่นี่จะบานสะพรั่งเต็มสองข้างทาง ทำให้บรรยากาศรอบข้างช่างดูโรแมนติกขึ้นมาทันที เห็นแบบนี้แล้วรีบพาคนพิเศษของคุณมาด้วยกันนะคะ ที่ถนนเฮียร์สแตรบ ประเทศเยอรมนีค่า