วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

จัดบุฟเฟ่อย่างไรขณะควบคุมน้ำหนัก


ทานบุฟเฟ่อย่างฉลาด

เลือกอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก

การเลือกว่าจะกินบุฟเฟ่ต์อะไรดี มักเป็นขั้นแรก ๆ ซึ่งทุกคนก็จะต้องถกเถียงกันเพื่อเลือกร้านให้บรรดากลุ่มคนที่จะกินด้วยกันทั้งหมดนั้นโอเคกับตัวเลือก และแน่นอนว่าถ้าคุณไม่อยากอ้วน ก็จะต้องดูว่าร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เราจะเลือกเข้าไปทานนั้นดีต่อสุขภาพหรือเปล่า ควรเลือกร้านอาหารที่หลากหลายที่สามารถเลือกสั่งอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาหารที่เป็นมิตรในที่นี้หมายถึง อาหารเพื่อสุขภาพที่มีไขมันต่ำ เลี่ยงเมนูที่ปรุงด้วยวิธีการผัดหรือทอด

ออก start เริ่มที่สลัด

หากไปร้านอาหารที่มีเมนูสลัดแนะนำให้สั่งมาด้วยทุกครั้ง หรือตักสลัดมากินเป็นเมนูแรก เพราะใยอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว และไม่อยากกินอาหารที่มีไขมันมาก ลองหยิบเอาผักผลไม้หลาย ๆ ชนิด มาผสมกันในจานสลัด เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ที่สำคัญควรเลือกน้ำสลัดที่เป็นน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันคาโนล่า จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่รับประทานเข้าไปอย่างเต็มที่ เพราะมีวิตามิน A, D, E และ K ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ส่วนใครที่กังวลว่านั่นคือน้ำมันก็ไม่ต้องห่วง เพราะน้ำมันเหล่านี้ให้ไขมันดีกับร่างกาย ส่วนใครที่คิดว่ารสชาติมันจืดชืดเกินไปก็สามารถเหยาะน้ำส้มสายชูลงไปนิด ๆ เพื่อเสริมรสชาติได้เช่นกัน

เลือกเนื้อสัตว์ไร้ไขมันหรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ

ในบรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์มักมีเนื้อสัตว์หลากชนิดให้เลือก แต่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนักก็คือ เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน เช่น เนื้อปลา และเนื้อไก่ เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้ไม่มีไขมัน หรืออาจมีไขมันในปริมาณที่น้อยกว่าการเลือกทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัว

-ตักให้พอดี
 แม้เราจะสามารถตักอาหารได้ตามต้องการในร้านบุฟเฟ่ต์ แต่ต้องไม่ลืมว่าร่างกายเราอาจไม่ต้องการอาหารมากมายถึงเพียงนั้น ที่สำคัญก็คือ ตักอาหารในปริมาณที่เหมาะสม อย่าตักมากเกินไปเพราะกลัวของหมด หรือตักเผื่อเพื่อน เพราะหลายคนมักเพลิดเพลินกับการตักอาหาร จนเผลอนึกไปว่าสุดท้ายพออาหารเหลือ ก็ต้องจำใจกินให้หมดเพราะกลัวโดนปรับ ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็คืออาหารที่แน่นเต็มท้องกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นให้จำไว้ว่า ตักแต่ในปริมาณที่พอดี หากไม่พอก็ค่อยลุกไปตักใหม่ได้

ขนาดจานมีผลกับจิตใจ

มีการวิจัยศึกษาหนึ่ง ซึ่งพบว่า การรับประทานอาหารด้วยจานใบเล็กจะช่วยให้เราทานอาหารได้น้อยลงกว่าการใส่จานใหญ่ อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อจานเล็กก็ต้องลุกไปตักอาหารบ่อย ๆ ก็จะได้เดินเผาผลาญไปด้วย

-เลือกรับประทานให้หลากหลาย
ในการเลือกรับประทานอาหารนั้น ไม่ควรเลือกทานแต่ที่ชอบเพียงชนิดเดียว เพราะอาหารที่หลากหลายจะช่วยให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ซ้ำ ๆ กันเกินจำเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง

ระวังไขมันซ่อนแอบ

ไขมันแอบแฝงที่ว่า คือ เนย นม ที่อยู่ในน้ำสลัด และเป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น ขนมปังกระเทียม เห็ดผัดเนย เพราะเมื่อเราไม่ทันสังเกตก็จะรับประทานอาหารในปริมาณมาก ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรสั่งอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนย นม และมาการีน หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรกินให้น้อยที่สุด

อย่าละเลยการเลือกเครื่องดื่ม

การเลือกเครื่องดื่มที่ทานคู่กับบุฟเฟ่ต์ก็สำคัญ ควรเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่น้อย อย่างเช่น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ ชา น้ำอัดลมแคลอรี่ต่ำ แทนการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมธรรมดา เพราะมีแคลอรี่สูง

หยุดกินก่อนอิ่มจัด

เมื่อรู้สึกว่าเริ่มอิ่มแล้ว ให้หยุดรับประทานอาหาร แต่ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปแทน เพราะกระเพาะของคนเราต้องใช้เวลาถึง 15 นาที ในการส่งสัญญาณออกไปบอกสมองว่า อิ่มแล้ว ดังนั้นหากเราหยุดก่อนที่จะรู้สึกอิ่ม จะทำให้เราอิ่มพอดีไม่แน่นเกินไปในภายหลัง หรืออาจรับประทานผลไม้แทน

ผลเสียจากการจัดหนัก (ทานมากเกินไป)

การกินมากไปก็ทำให้เป็นทุกขลาภแห่งลำไส้ ซึ่งอาการจัดหนักจากการกินมากเกินไปในแต่ละมื้อโดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์และท่านที่ ชอบกินจนอิ่มมาถึงคอหอยก่อให้เกิด้โรคดังต่อไปนี้ได้
หิวไว คนกินหนักมักจะหิวไวในมื้อต่อไป เพราะกระเพาะลำไส้ต้องทำงานหนักในการย่อยมื้อใหญ่ และน้ำตาลในเลือดก็จะลดไวทำให้เกิดอาการน้ำตาลต่ำหิวไวขึ้น การกินมากๆ ยังทำ ลำไส้พัง เครื่องในก็เหมือนเครื่องรถที่ไม่ได้งดเว้นงานบ้างก็จะเสื่อมเร็ว อาหารที่เข้าไปมากทำให้ลำไส้เกิดปัญหารั่วได้ และจากการบีบตัวไม่ได้พักก็ทำให้ “กรดไหลย้อน” มาถามหาได้เหมือนกัน นอกจากนี้ถ้าไม่ระวังกินจนอิ่มจัดจะทำให้เกิดอาการ “ตื่นตา” นอนไม่หลับเพราะลำไส้ไม่ได้พักและเกิดการแน่นอึดอัดท้องจากแก็สในอาหารที่ หมักกันจนพุงหลามได้เหมือนถังเบียร์
เรื่องอ้วนก็ไม่ต้องพูดถึงซึ่งตรงมาและตรงไปในบริบทของผู้รักบริโภค ยิ่งกินมื้อหนักอย่างบุฟเฟ่ต์มากเท่าไรก็ยิ่งได้แคลอรีส่วนเกินที่ลดยากขึ้น เท่านั้น เพราะการกินหนักเป็นบางมื้อทำให้ร่างกายเครียดและตับพังมีการหลั่งฮอร์โมน มารออกมาเพื่อเก็บไขมันไว้ให้มากขึ้นเพิ่มพูนน้ำหนักอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดอาหาร หงุดหงิดง่าย เพราะเคมีในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่อาหารเข้าปากและหนึ่งในเคมีที่ว่าคือ “เคมีแห่งอารมณ์” อาจทำให้อารมแปรปรวนได้ง่ายๆ
สุดท้าย คือาการสมองตื้อ คิดไม่ออก คนกินอิ่มจัดไปทำให้ “หัวไม่แล่น” งุนงง เบลอๆเนื่องจากจากเลือดพากันไปเลี้ยงไส้เสียมากในการย่อยอาหาร และเกิดจาก “โกร๊ทฮอร์โมน” ไม่หลั่ง ทำให้ไม่มีพลังทั้งแรงกายและแรงใจที่ใช้คิด ถ้าอยากมีสมองที่แจ่มใสขึ้นขอให้กินแบบ “หิวนิดๆ” หยุดก่อนอิ่มเป็นการสงวนความคิดไว้ไม่ให้จมไปกับมื้อหนักหมด
ข้อสำคัญในการทานบุฟเฟ่ต์ คนส่วนใหญ่มักเสียดาย และกลัวไม่คุ้ม จึงเป็นที่มาของการบริโภคอาหารที่มากเกินจำเป็น ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้นมากด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าเร่งทานให้ได้ปริมาณเยอะๆ อย่าห่วงว่าจะทานไม่คุ้ม แต่ให้ห่วงรูปร่างและสุขภาพร่างกายของคุณที่อาจไม่คุ้มในภายหลัง เพราะทานมากเกินจำเป็นก็ได้

จะลดน้ำตาล เลือกสารให้ความหวาน แบบไหนดีกว่ากัน


แอสปาแตม

เป็นน้ำตาลเทียมที่ทำจากสารเคมีเป็นส่วนใหญ่ จะให้ความหวานกว่าน้ำตาลธรรมชาติถึง 200 เท่า มีรสชาติใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายเเต่จะทิ้งรสขมเล็กน้อยหลังจากทาน ทั้งยังไม่ให้เกิดภาวะฟันผุและไม่กระตุ้นน้ำตาลในเลือดสูง จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในเครื่องดื่มน้ำอัดลมและคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวาน คณะกรรมการอาหารและยาในอเมริกาได้ยอมรับสารแอสพาแตมเมื่อปี 1980 และในปี 1983 ก็ยอมให้ใช้แอสพาแตมผสมในเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งในปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์อาหารและยาที่มีแอสพาแตมเป็นส่วนประกอบมากถึง กว่า 6,000 ชนิดทั่วโลก สามารถใช้แทนความหวานให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เพราะตัวแอสปาแตมไม่มีพลังงานจึงไม่มีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แต่มีข้อเสียเพราะโครงสารของแอสปาร์แตมจะเปลี่ยนไปเมื่อโดนความร้อนสูงและเมื่อเก็บไว้นาน จึงไม่ควรใช้แอสปาร์แตมปรุงอาหารที่ตั้งไฟร้อนๆและไม่ควรเก็บไว้นานๆ
ถึงแม้ว่าจะแอสปาแตมจะให้พลังงานน้อยมาก แต่มีงานวิจัยเชื่อมโยงแอสปาร์เทมเข้ากับอาการปวดไมเกรนในผู้ใช้บางคน และความเป็นสารเคมีเมื่อบริโภคไปนานๆอาจให้ผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นอกจากนี้ยังมีผลจากงานวิจัยบางตัวเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งและการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมได้ถ้าทานในระหว่างตั้งครรต์ แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตจะออกมาต้านทานโดยมีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่า แอสพาแตมไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์พวกหนึ่งโจมตีกล่าวหา แต่อย่างไรก็ตามที่อะไรมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เอาเป็นว่ารับประทานอย่างมีสติและใช้อย่างพอดี ไม่พึ่งพามากจนเกินไปก็ไม่เกิดผลเสีย

ซูคราโลส

มีส่วนผสมในสารทดเเทนความหวานหลายชนิดหลายยี่ห้อ เป็นสารให้ความหวานที่ไม่มีพลังงานเพราะใช้น้อยมาก 1 ส่วนของซูคราโลสให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายขาวประมาณ 600 เท่า ดังนั้นถ้าชงกาแฟ 1 ถ้วยถ้าใช้น้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนชาก็จะให้ความหวานเท่ากับซูคราโลส 0.00333 ช้อนชา (ก็คงประมาณน้ำตาลทรายขาวเพียง 5 เม็ดเท่านั้นเอง)
ซูคราโลสเป็นสารให้ความหวานที่ปลอดภัยถึงแม้จะเป็นเคมีแต่ก็เป็นเคมีที่ ไม่มีสารสะสมในร่างกายเนื่องจากขบวนการผลิตองค์การอนามัยโลกยอมรับเป็นทางการแล้วว่ามีความปลอดภัยเทียบเท่าน้ำตาลจากธรรมชาติ เดี๋ยวนี้น้ำอัดลมบางยี่ห้อก็ใช้ความหวานจากซูคราโลสจึงโฆษณาว่าดื่มแล้วไม่อ้วน และยังนิยมใช้ซูคราโลสให้ความหวานกับขนม ชา กาแฟที่โฆษณาว่าดื่มเพื่อลดความอ้วนเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ข้อดีของซูคราโลส คือให้ความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาล อร่อยแต่ไม่มีรสขมติดลิ้นและไม่ให้พลังงาน ละลายน้ำได้ดี ใช้ปรุงอาหารและขนมทุกชนิดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่สูญเสียความหวาน ไม่เหมือนน้ำตาลเทียมที่ใส่ได้เฉพาะกาแฟ ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรือระดับอินซูลิน ผู้ป่วยเบาหวานใช้ได้ตามปกติเช่นเดียวกับสารให้ความหวานอื่นๆ ไม่ทำให้ฟันผุเหมือนรับประทานน้ำตาล และเก็บรักษาเช่นเดียวกับน้ำตาล
ข้อเสียก็มีอยู่ การผลิตซูคราโลสทำโดยการเพิ่มคลอรีนเข้าไปในโมเลกุลน้ำตาล ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้กระเพาะของเราไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ด้วยในบางคน นอกจากนี้สิ่งที่ควรระวังเกี่ยวกับสารเพิ่มความหวานซูคราโลสก็คือคุณธรรมของผู้ผลิต ว่าใช้ซูคราโลสจริงหรือเปล่า เพราะเห็นว่ามีบางผลิตภัณฑ์ตบตาผู้บริโภคโดยใช้แอสปาแตมแทนความหวานแต่บอก ว่าเป็นซูคราโลสก็มีไม่น้อยเช่นกัน เพราะต้นทุนการผลิตซูคราโลสมีต้นทุนสูงทำให้ราคาต่อกิโลสูงตามไปด้วย ดังนั้นควรเลือกใช้และอ่านฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนเป็นดี

หญ้าหวาน หรือ Stevia

เป็นสารแทนความหวานที่ดีที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุด จะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 250 – 300 เท่า แต่ไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงาน จึงทำให้มีพลังงานน้อยมาก ความจริงหญ้าหวานถูกใช้เป็นสมุนไพรมาตั้งเกือบ 500 ปีแล้วแต่เพิ่งจะมีการศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจังเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1899 และเอามาใช้เป็นสารทดแทนความหวานกันเมื่อปี 1964
หญ้าหวานจะออกรสหวานช้ากว่าน้ำตาลทรายเล็กน้อยและรสหวานจะจางหายไปช้ากว่าน้ำตาลทราย ข้อดีของหญ้าหวานก็คือสามารถแทนทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียสโดยไม่สลายตัว ดังนั้นนอกจากจะใช้ใส่ในเครื่องดื่มแล้วยังสามารถเอามาทดแทนน้ำตาลในการปรุงอาหาร ที่ต้องผ่านการหุงต้มได้อีกหลายอีกชนิด ซึ่งชนชาติญี่ปุ่นและเกาหลีก็ใ่ช้กันมานาน ทั้งในการหมักเนื้อ หมักปลา หมักผักดอง เครื่องดื่ม ก็ใช้หญ้าเป็นสารทดแทนความหวานรวมไปถึงยาสีฟันที่ลดอาการฟันผุได้ด้วย โดยสรุปแล้วหญ้าหวานน่าจะเป็นสารทดแทนความหวานที่ปลอดภัย และยังไม่มีรายงานข้อแทรกซ้อนจากการใช้ และได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อนุญาตให้นำสารสกัด stevioside มาขึ้นทะเบียนเป็นสารหวานแทนน้ำตาลได้ อาจจะหาซื้อยากซักหน่อย เเต่ตามร้านขายผลิตภัณฑ์ออแกนิคและซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำน่าจะพอหาได้

อย.เค้าฝากมา

วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลแม้จะดู ว่ามีประโยชน์และนำมาใช้แทนที่น้ำตาล เพื่อลดพลังงาน และในผู้ป่วยที่ต้องจำกัดการบริโภคน้ำตาล แต่การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้ เพราะวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิดนั้นไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลย โดยเฉพาะผู้บริโภคทั่วๆ ไป การใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลจึงไม่ใช่ความจำเป็นแต่เป็นเพียงทางเลือก เท่านั้น ดังนั้น ถ้าท่านต้องการมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี ควรต้องบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส และพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี รูปร่างสมส่วน ได้โดยไม่ต้องพึ่งสารสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น

มื้อเช้าทำง่ายได้คุณค่าทางอาหาร ไข่กวน “Scrambled Eggs”


ไข่กวน หรือ ฝรั่งเรียกว่า Scrambled Eggs เป็นเมนูทำง่ายใช้อุปกรณ์และเครื่องปรุงไม่เยอะ ในบางบ้านก็จะทานคู่กับมะเขือเทศย่าง ขนมปัง และ เบคอน ถือเป็นอาหารเช้าที่ได้สารอาหารและคุณค่าทางอาหารครบถ้วนแลยทีเดียว แต่สำหรับสูตรดัดแปลงวันนี้เราจะใช้เเค่อุปกรณ์ง่ายๆไม่กี่ชนิด และเชื่อว่าทุกคนสามารถทำทานเองที่บ้านได้อย่างแน่นอน
ส่วนประกอบ เครื่องปรุง
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง (ใช้ไข่เเดง 1 ใบ) ให้พลังงาน 80 kcal
  • ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น ให้พลังงาน 65 kcal
  • นมขาดมันเนย  1 ช้อนโต๊ะ 10 kcal
  • เนยสด 1 ช้อนชา (ประมาณ ลูกเต๋าเล็ก) ให้พลังงาน 107 kcal (ใครจะเปลี่ยนจากเนยเป็น น้ำมันมะกอกหรือจะไม่ใส่ก็จะลดพลังงานได้อีกค่ะ)
  • ถ้วยทนความร้อน
  • ไมโครเวฟ
  • เกลือและพริกไทยเล็กน้อย
วิธีการทำ
นำไข่ไก่ทั้งใบ 1 ใบ ตอกใส่ถ้วย และอีกใบแยกไข่แดงทิ้งไปเหลือไข่ขาวไว้ เติมนมขาดมันเนย คนให้พอแตกน้ำเข้าไม่โครเวฟความร้อนสูงสุด 40 วินาที
นำไข่ออกมาใช้ซ้อมกวนอย่าตกใจถ้าไข่จะยังเป็นน้ำอยู่ เพราะเรามาถูกทางแล้ว นำเนยใส่ลงไปแล้วนำเข้าไมโครเวฟอีก 30 วินาที แล้วนำออกมากวนอีกครั้ง ถ้าหากยังไม่สุกดีสามารถนำเข้าไม่โครเวฟเพิ่มได้อีก 20 วินาที จากนั้นนำมาเทลงบนขนมปังโฮลวีตที่เตรียมไว้ โรยเกลือและพริกไทย หรือใครจะเติมซอสถัั่วเหลืองก็อร่อยคุ้นลิ้นไปอีกแบบค่ะ เพียงเวลาเเค่ 1 นาทีนิดๆ เราก็ได้อาหารเช้ามีคุณค่า พลังงานพอดีๆ เเบบไม่ต้องเก็บล้างมากมายให้ยุ่งยากเลย ลองไปทำทานกันนะคะ จานนี้ให้พลังงาน 262  kcal ใครจะเสริมด้วยมะเขือเทศ นมขาดมันเนย หรือจะเป็น กล้วยสักลูกก็ได้

ลดเค็ม ลดโรค ลดอ้วน


ข้อควรระวังเมื่อชอบกินอาหารรสเค็ม

  • จากการศึกษา พบว่า ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มเป็นประจำ จะมีพฤติกรรมการกินของหวานและเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานรสเค็ม เนื่องจากเมื่อร่างกายได้รับโซเดียม ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในเกลือและสารที่ให้ความเค็มอื่นๆ ร่างกายจะมีความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายที่สูงขึ้น และส่งผลให้ร่างกายต้องการน้ำเพราะจะรู้สึกกระหายน้ำมากขึ้น และจากงานวิจัยระบุว่า เครื่องดื่มที่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ชอบรับประทานรสเค็มเลือกนั้น ก็คือ เครื่องดื่มประเภทน้ำหวาน จึงทำให้ได้รับน้ำตาลสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มมีความเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วนได้ง่ายกว่า
  •  โดยปกติแล้วระบบประสาทการรับรู้รสชาติของอาหารที่ลิ้นจะลดน้อยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าคนที่ชอบกินอาหารรสเค็มจะเพิ่มความเค็มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ
  • การกินอาหารที่มีโซเดียมสูง เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะไตเสื่อม เนื่องจากไตซึ่งเป็นอวัยวะที่กรองของเสียและน้ำออกนอกร่างกายจะต้องทำงานหนัก เมื่อมีโซเดียมในร่างกายสูง และเมื่อต้องทำงานหนักเป็นประจำไตก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและตามมาด้วยความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องมาจากการที่ร่างกายได้รับโซเดียมจะไปเพิ่มเซลล์กล้ามเนื้อของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดความดันโลหิตที่สูงขึ้นและหัวใจทำงานหนักมากขึ้น
  • การได้รับปริมาณของโซเดียมสูงในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม

วิธีการลดปริมาณโซเดียมจากอาหาร

  • เน้นการกินอาหารสดมากกว่าอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป
  • หลีกเลี่ยงหรือกินแต่น้อยสำหรับอาหารที่มีรสเค็มมาก เช่น อาหารดองเค็ม อาหารกระป๋อง อาหารตากแห้งเค็ม
  • ชิมอาหารก่อนปรุง หากจะใส่เครื่องปรุงควรใส่ทีละน้อย
  • ใช้เครื่องจิ้มต่างๆ ในปริมาณน้อย เช่น น้ำจิ้มไก่ ซีอิ๊วหวาน น้ำจิ้มแจ่ว น้ำพริกต่างๆ เพราะมักจะมีรสเค็ม
  •  อ่านฉลากโภชนาการในปริมาณของโซเดียมทั้งหมด
  • ใช้สมุนไพรในการปรุงประกอบอาหารจะช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้นโดยช่วยลดการเติมเกลือลงในอาหาร
  • ทำอาหารทานเอง เพื่อเลือกวัตถุดิบที่นำมาปรุงได้
  • ลดการทานอาหารที่ใช้ผงฟูเป็นส่วนประกอบ พวกขนมปัง เบเกอร์รี่ต่างๆ

รสเค็มกับความอ้วน

แม้ว่าเกลือจะไม่มีไขมันและแคลอรี แต่เกลือก็เป็นตัวการทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำได้ เนื่องจากร่างกายคนเรามีกลไกปรับสมดุลระหว่างน้ำและเกลือไม่ต่างจากเครื่องจักร ดังเช่น ธรรมชาติกำหนดให้น้ำในสระมีปริมาณเกลือได้หนึ่งช้อนต่อน้ำหนึ่งลิตร หากมีคนแอบเติมน้ำลงไปหนึ่งลิตร ร่างกายก็จะสรรหาปริมาณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช้อนชาทันที ในทางกลับกันหากมีคนแอบเติมเกลือลงไปหนึ่งช้อนชา ร่างกายก็จะหาน้ำมาเจือจางอีกหนึ่งลิตร ซึ่งองค์การอาหารและยากำหนดให้ในหนึ่งวันเราควรได้รับเกลือปริมาณ 2,300 มิลลิกรัมหรือเทียบเท่ากับหนึ่งช้อนโต๊ะ แต่ข่าวร้ายก็คือในชีวิตประจำวันเรามักได้รับเกลือโซเดียมจากอาหารที่กินโดยไม่รู้ตัวเสมอ เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารที่ผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน และเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ที่ไม่มีรสเค็มแต่อุดมไปด้วยโซเดียมทำให้ร่างกายได้รับเกลือมากกว่าปริมาณมาตรฐานเกือบสองเท่าและนี่คือสาเหตุว่าทำไมคนที่ควบคุมการกินอย่างเคร่งครัด และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแต่น้ำหนักตัวก็ยังคงเท่าเดิม

อาหารอุดมโซเดี่ยม

  • ซุปต่างๆ - ซุปหลากชนิดมักอุดมไปด้วยเกลือและโซเดียม โดยเฉพาะซุปกระป๋องเพราใส่เครื่องปรุงมาก คาดกันว่าในซุปหนึ่งกระป๋องจะมีปริมาณเกลือถึง 1,000 มิลลิกรัม
  • ชีส - คนรักชีสต้องโอดครวญกันเป็นแถว เพราะในชีสเพียงหนึ่งชิ้นเล็กก็มีปริมาณโซเดียมมากถึง 500 มิลลิกรัม
  • ขนมบรรจุถุง - เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารบรรจุในถุงมักมีปริมาณเกลือมากเป็นพิเศษเพื่อยืดอายุของอาหารให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น
  • อาหารแช่แข็ง - อาหารแช่แข็งนั้นต้องยืดอายุการใช้งานให้นานที่สุดเช่นเดียวกับขนมบรรจุถุง นอกจากนี้ผลไม้และวัตถุดิบอื่นที่นำมาทำอาหารแช่แข็งก็มักจะยังไม่สุกดีจึงมักไม่มีรสชาติ ทำให้ต้องเติมผงชูรสและเกลือมากเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มรสชาติด้ว
  • ซอสมะเขือเทศ - เเม้เเต่ซอสมะเขือเทศที่เราทานๆกันก็มีปริมาณเกลือถึง 178 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชาเลยทีเดียว